วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มหาวิหารอามีแย็ง - Cathédrale Notre-Dame d'Amiens





                   มหาวิหารอามีแย็ง (หรืออาเมียง) (อังกฤษAmiens Cathedral) มีชื่อเต็มว่า อาสนวิหารแม่พระแห่งอามีแย็ง (ฝรั่งเศส:Cathédrale Notre-Dame d'Amiens กาเตดราลน็อทร์-ดามดามีแย็ง) เป็นมหาวิหารที่สูงที่สุดในประเทศฝรั่งเศส มีฐานะเป็นอาสนวิหาร ประจำมุขมณฑลอาเมียง มีเนื้อที่ภายในกว้างใหญ่ถึง 200,000 ตารางเมตร หลังคาโค้งกอธิคสูง 42.30 เมตรซึ่งเป็นหลังคาแบบกอทิกที่สูงที่สุดในฝรั่งเศส ตัวมหาวิหารตั้งอยู่ที่เมืองอามีแย็ง ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของแคว้นปีการ์ดีในหุบเขาซอม (Somme) อยู่เหนือจากกรุงปารีสประมาณ 100 กิโลเมตร

ประวัติ

ด้านหน้าโบสถ์สร้างครั้งเดียวเสร็จระหว่างปี ค.ศ. 1220 ถึง ค.ศ. 1236 ลักษณะจึงกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตอนล่างสุดของด้านหน้าโบสถ์เป็นประตูเว้าลึกใหญ่สามประตู เหนือระดับประตูขึ้นไปชั้นหนึ่งเป็นหินสลักขนาดใหญ่กว่าองค์จริงของพระเจ้าแผ่นดิน 22 พระองค์เรียงเป็นแนวตลอดด้านหน้ามหาวิหารภายใต้หน้าต่างกุหลาบ สองข้างด้านหน้าประกบด้วยหอใหญ่สองหอ หอด้านใต้สร้างเสร็จเมื่อปี ค. ศ. 1366 หอทางทิศเหนือสร้างเสร็จ 40 ปีต่อมาเมื่อปี ค. ศ. 1406 และเป็นหอที่สูงกว่า
เอกสารที่เกี่ยวกับประวัติการสร้างมหาวิหารนี้ถูกทำลายไปหมดเมื่อสถานที่เก็บรักษาเอกสารสำคัญของโบสถ์ถูกไฟไหม้ไปเมื่อปีค. ศ. 1218 และอีกครั้งเมื่อปีค. ศ. 1258 ครั้งหลังนี้ไฟได้ทำลายตัวมหาวิหารด้วย ต่อมาพระสังฆราชเอวราร์เดอฟูยี (Bishop Evrard de Fouilly) เริ่มสร้างมหาวิหารใหม่แทนมหาวิหารเดิมที่ไหม้ไปเมื่อ ค. ศ. 1220 โดยมีรอแบร์ เดอ ลูซาร์ช (Robert de Luzarches) เป็นสถาปนิก และลูกชายของรอแบร์ คือ เรอโน เดอ กอร์มง (Renaud de Cormont) เป็นสถาปนิกต่อมาจนถึงค. ศ. 1288
จดหมายเหตุกอร์บี (Chronicle of Corbie) บันทึกไว้ว่ามหาวิหารสร้างเสร็จเมื่อ ค. ศ. 1266 แต่ก็ยังมีการปิดงานต่อมา พื้นโถงกลางภายในมหาวิหารตกแต่งเป็นลวดลายต่าง ๆ หลายชนิดรวมทั้งลายสวัสดิ ลายวนเขาวงกต (labyrinth) ซึ่งปูเมื่อปีค. ศ. 1288 นอกจากนั้นก็มีระเบียงรูปปั้นไม่ใหญ่นัก 3 ระเบียง 2 ระเบียงอยู่ด้านเหนือและด้านใต้ของบริเวณร้องเพลงสวด และระเบียงที่ 3 อยู่ทางด้านตะวันเหนือของแขนกางเขน เป็นเรื่องราวของนักบุญต่าง ๆ รวมทั้งชีวประวัติของนักบุญยอห์นแบปติสต์ มหาวิหารกล่าวว่าเป็นเจ้าของเรลิกชิ้นสำคัญคือศีรษะของนักบุญยอห์นแบปติสต์ ซึ่งวัดได้มาจาก วอลลัน เดอ ซาตอง (Wallon de Sarton) ผู้ไปนำมาจากคอนสแตนติโนเปิล เมื่อกลับมาจากสงครามครูเสด ครั้งที่ 4
รูปปั้นด้านหน้าข้างประตูมหาวิหารที่บอกได้ว่าเป็นนักบุญที่มาจากแถว ๆ อามีแย็งก็ได้แก่ นักบุญวิกโตรีกุส, ฟูเซียน, และเจ็นเตียง (St. Victoricus, St. Fuscian, และ St. Gentian) มรณสักขีไม่นานจากกันในคริสต์ศควรรษที่ 3 กล่าวกันว่าเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 7 บิชอปโฮโนราตุส (Bishop Honoratus) ผู้เป็นบิชอปองค์ที่ 7 ของมหาวิหารอามีแย็งได้ขุดพบเรลิกของนักบุญทั้งสาม เมื่อพระเจ้าฌีลเดอแบร์ที่ 2 แห่งปารีส (Childebert II) พยายามยึดเรลิกก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อไม่สามารถทำได้ก็ทรงอุทิศเงินก้อนใหญ่ให้กลุ่มลัทธิของผู้นิยมนักบุญทั้งสามและทรงส่งช่างทองมาทำเครื่องตกแต่งเพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญ
นักบุญอื่นที่เป็นนักบุญท้องถิ่นที่มีรูปปั้นอยู่หน้าประตูคือนักบุญโดมิเทียส (St. Domitius) ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ผู้เคยเป็นนักบวชที่มหาวิหาร นักบุญอุลเฟีย (St. Ulphia) ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ผู้เคยเป็นลูกศิษย์ของนักบุญอุลเฟียและเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มสตรีผู้เคร่งศาสนาในบริเวณอาเมียง นักบุญแฟแมง (St. Fermin) ในคริสต์ศตวรรษที่ 3 ผู้ถูกประหารชีวิตที่อาเมียง 

ประตูด้านหน้ามหาวิหารและหน้าบัน

ประตูใหญ่สามประตูด้านหน้า --ซ้ายประตูนักบุญแฟร์แมง กลางประตูการตัดสินครั้งสุดท้าย ขวาประตูพระแม่มารี
แสดงรูปสลักเหนือประตูกลาง รูปวัดตัดสินสุดท้ายที่มีพระเยซูกลับมาเป็นประธานล้อมรอบด้วยแนวรูปปั้นใหญ่สองข้างและรูปปั้นเล็กรายรอบโค้งแหลมเหนือรูปสลักใหญ่
ประตูทางเข้ามหาวิหารด้านหน้าเป็นประตูใหญ่สามประตูเว้าลึกเข้าไปในตัวมหาวิหาร เหนือแต่ละประตูตกแต่งมีภาพแกะสลักใหญ่ที่หน้าบัน ล้อมเป็นกรอบสองข้างประตูรายด้วยรูปแกะสลักใหญ่กว่าคนของนักบุญและศาสดายืนบนแท่นที่ภายใต้ฐานที่มีผู้แบกเล็กๆ อยู่ กรอบด้านบนโค้งเป็นรูปสลักเล็กๆ เรียงเป็นแนว
ประตูที่สำคัญที่สุดเป็นรูปสลักเมื่อพระเยซูทรงกลับมาเป็นประธานในการตัดสินครั้งสุดท้าย (Resurrection of the Body และ Last Judgement) กลางรูปจะเป็นพระเยซูทรงนั่งเป็นประธานในการเลือกว่าผู้ใดจะได้เลือกขึ้นสวรรค์และผู้ใดจะถูกส่งลงนรก สองข้างพระองค์จะมีพระแม่มารีย์ และยอห์นอัครทูต และทูตสวรรค์ถืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน และหมู่ทูตสวรรค์ ในวันการตัดสินครั้งสุดท้าย มนุษย์ทุกคนที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกก็ฟื้นขึ้นมาจากหลุมศพเพื่อจะได้ถูกตัดสิน ผู้ที่ได้เลือกขึ้นสวรรค์ก็จะมีหน้าตาอิ่มเอิบมีนางฟ้าเทวดารอรับอยู่ กลุ่มนี้เรียกว่า “the Elect” อีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกส่งลงนรกจะเรียกว่า “the Damned” กลุ่มหลังนี้ประติมากรแกะภาพสยดสยองต่างของผู้ตกนรกที่ถูกไล่เสียบแทงโดยปีศาจอสุรกายต่างๆ
ประตูที่ด้านขวาเป็นประตูเทิดพระเกียรติพระแม่มารีย์ ตรงกลางเป็นรูปพระแม่มารีย์ห่มผ้ายาวอุ้มพระเยซูในมือซ้าย มือขวายื่นออกไปราวจะต้อนรับผู้มีศรัทธาเข้าสู่โบสถ์ ประตูด้านซ้ายเป็นประตูนักบุญแฟแมงซึ่งเป็นนักบุญท้องถิ่น[1]
ทุกปีทางโบสถ์จะจัดให้มีการแสดงแสงเสียงด้านหน้าวัดที่น่าประทับใจโดยการเล่าเรื่องราวความเป็นมาของโบสถ์ ที่น่าสนใจที่สุดก็คือการแสดงการส่องแสง (Son et lumière) ที่พยายามแสดงให้เห็นว่าหน้าโบสถ์ยุคกลางที่เคยเป็นสีสันฉูดฉาดซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงสีหินธรรมชาติเรียบๆเป็นอย่างไร
มหาวิหารอาเมียงได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1981

มหาวิหารสทราซบูร์ - Cathédrale Notre-Dame-de-Strasbourg





มหาวิหารสทราซบูร์ หรือ อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งสทราซบูร์ (ฝรั่งเศส: Cathédrale Notre-Dame-de-Strasbourg, เยอรมัน:Liebfrauenmünster zu Straßburg) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกที่มีฐานะเป็นอาสนวิหาร ตั้งอยู่ที่เมืองสทราซบูร์ แคว้นอาลซัส ประเทศฝรั่งเศสอันเป็นที่ตั้งของอัครมุขมณฑลสทราซบูร์ (Archdiocese of Strasbourg) ส่วนหลักของสถาปัตยกรรมเป็นแบบโรมาเนสก์ แต่ยังมีส่วนประกอบที่สำคัญของสถาปัตยกรรมแบบกอทิกตอนปลายที่งดงามที่สุดแห่งหนี่ง โดยมีสถาปนิกชาวเยอรมัน เออร์วิน วอน สไตน์บัค (Erwin von Steinbach) เป็นผู้ดูแลการออกแบบและก่อสร้างในช่วงปีค.ศ. 1277 จนถึง ค.ศ. 1318
มหาวิหารแห่งสทราซบูร์ เคยได้รับการบันทึกเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในโลก ในช่วงปีค.ศ. 1647 จนถึงปีค.ศ. 1874 ด้วยความสูงถึง 142 เมตร ซึ่งในปัจจุบัน ถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดอันดับที่หกของโลก และสูงที่สุดเป็นอันดับสองรองจากมหาวิหารรูอ็อง และยังถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดที่สร้างในยุคกลาง ที่ยังคงสภาพอยู่ในปัจจุบัน
มหาวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก รวมกับกร็องดีล อันเป็นเกาะที่ตั้งของมหาวิหาร ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมปีละประมาณ 4 ล้านคน โดยถือเป็นมหาวิหารที่มีนักท่องเที่ยวต่อปีมากที่สุดรองจากมหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส

อาร์ชเดอลาเดฟ็องส์ Arche de la Défense


อาร์ชเดอลาเดฟ็องส์ (ฝรั่งเศสArche de la Défense) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ประตูใหญ่แห่งภราดรภาพ (Grande Arche de la Fraternité, "ช่องโค้งใหญ่แห่งภราดรภาพ") เป็นอนุสรณ์สถานตั้งอยู่บนย่านลาเดฟ็องส์ ทางทิศตะวันตกของกรุงปารีส ส่วนมากมักจะเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า "อาร์ชเดอลาเดฟ็องส์" หรือ "ลากร็องดาร์ช" (La Grande Arche, "ช่องโค้งใหญ่")

ประวัติ

ประธานาธิบดีแต่ละคน: ฌอร์ฌ ปงปีดู (โครงการของไอ. เอ็ม. เป่ย), วาเลรี ฌิสการ์ แด็สแต็ง (โครงการของฌ็อง วีแลร์วาล) ต่างต้องการที่จะสร้างอนุสาวรีย์สถาปัตยกรรมต่าง ๆ บนแกนกลางอันเก่าแก่
ในความเป็นจริงแล้ว โครงการได้ริเริ่มในปี พ.ศ. 2526 หลังจากการแข่งขัน "แต็ตเดฟ็องส์" (Tête Défense) จัดโดยประธานาธิบดีฟร็องซัว มีแตร็องเพื่อที่จะหาสิ่งก่อสร้างเพื่อที่จะขยายแกนกลางอันเก่าแก่ให้ยาวขึ้น จากเดิมเริ่มต้นที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ผ่านเสาโอเบลิสก์ที่จัตุรัสลากงกอร์ดและประตูชัยฝรั่งเศสที่จัตุรัสชาร์ล เดอ โกล โดยการแข่งขันครั้งนี้มีแบบโครงการกว่า 484 ชิ้นจากทั่วโลกเข้าร่วมแข่งขัน ผลปรากฏว่าโครงการของโยฮันน์ ออตโต ฟอน สเปร็กเคลเซน สถาปนิกชาวเดนมาร์กได้ถูกรับเลือกจากโครงการทั้งหมด
บริษัทบูอีก (Bouygues) ได้ทำการก่อสร้างโครงการดังกล่าว เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ได้มีพิธีเปิดในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2532 ซึ่งเป็นการครบรอบการปฏิวัติฝรั่งเศส 200 ปีและยังเป็นปีที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพการประชุมจี 7 อีกด้วย
ประตูแห่งนี้สร้างบนแกนตะวันออก - ตะวันตกของกรุงปารีส ซึ่งสามารถมองเห็นจากอาร์กเดอทรียงฟ์และสวนตุยเลอรี

อนุสาวรีย์

โยฮันน์ ออตโต ฟอน สเปร็กเคลเซนได้ออกแบบอาร์ชเดอลาเดฟ็องส์ โดยีจุดประสงค์ให้เป็นประตูชัยฝรั่งเศสในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 20: อนุสาวรีย์ที่ออกแบบเพื่อมวลมนุษยชนและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ ไม่ใช่อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะอีกต่อไป แต่ทว่าโยฮันน์ ออตโต ฟอน สเปร็กเคลเซนได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2530 ซึ่งปอล อ็องเดรอได้รับงานต่อจากเขา
อาร์ชเดอลาเดฟ็องส์มีลักษณะเหมือนลูกบาศก์มาก (กว้าง 108 เมตร / สูง 110 เมตร / ลึก 112 เมตร)
พื้นผิวภายนอกของประตูนั้นเป็นกระจกหนา 5 เซนติเมตร โดยมีการป้องกันการเสียหายของกระจกโดยเฉพาะและสามารถต้านทานลมแรงได้

ปงอาแล็กซ็องดร์-ทรัว Pont Alexandre-III


ปงอาแล็กซ็องดร์-ทรัว หรือ สะพานอะเลคซันดร์ที่ 3 (ฝรั่งเศส: Pont Alexandre-III) เป็นสะพานโค้งพาดผ่านแม่น้ำแซน เชื่อมต่อทั้งสองฝั่งแม่น้ำด้านฝั่งหอไอเฟลกับฝั่งช็องเซลีเซเข้าด้วยกัน โดยได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นสะพานที่ประดับประดาไปด้วยงานศิลปะชั้นเลิศ และหรูหราที่สุดในปารีส โดยในปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์แห่งฝรั่งเศส

ประวัติ

ตัวสะพานสร้างช่วงปี ค.ศ. 1896-1900 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว ประกอบไปด้วยโคมไฟอันวิจิตร รูปปั้นทูตสวรรค์ เทพธิดา และม้าบินตั้งอยู่บนเสาหินฝั่งละ 2 เสา โดยได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่ สมเด็จพระจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย ที่ได้ตกลงสัญญาพันธมิตรระหว่างสองประเทศในปี ค.ศ. 1892 โดยมีเจ้าชายนีโคไลเป็นมกุฎราชกุมาร ในขณะนั้นเป็นผู้วางศิลาฤกษ์ในปี ค.ศ. 1886 โดยพื้นฐานทางสถาปัตยกรรมมีความคล้ายคลึงกับของอาคารกร็องปาแลซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไม่ไกลนัก
การก่อสร้างสะพานนี้ถือเป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมแห่งยุคศตวรรษที่ 19 เป็นอย่างยิ่ง โดยการสร้างสะพานโค้งแบบไม่มีเสา โดยตัวสะพานสูง 6 เมตร ทำจากเหล็กกล้า ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกโฌแซ็ฟ กาเซียง-แบร์นาร์ และกัสตง กูแซ็ง โดยมีข้อแม้ว่าห้ามบดบังทัศนียภาพของช็องเซลีเซและเลแซ็งวาลีดโดยเด็ดขาด
สะพานถูกสร้างโดยวิศวกรฌ็อง เรซาล และอาเมเด ดาลบี และเปิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1900 สำหรับงาน Exposition Universelle พร้อม ๆ ไปกับกร็องปาแล



โบสถ์ลามาดแลน - L'église de la Madeleine






โบสถ์ลามาดแลน (ฝรั่งเศส: L'église de la Madeleine) มีชื่อเรียกเต็มว่า โบสถ์นักบุญมารีย์ชาวมักดาลา (ฝรั่งเศส: L'église Sainte-Marie-Madeleine) เรียกกันอย่างลำลองในฝรั่งเศสว่า มาดแลน เป็นโบสถ์สำคัญในคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ในสังกัดอัครมุขมณฑลปารีส ที่สร้างอุทิศแก่นักบุญมารีย์ชาวมักดาลา ถือเป็นสถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในเขตที่ 8 ติดกับจัตุรัสเดอลากงกอร์ด ทางด้านทิศใต้ ทิศตะวันออกติดกับจัตุรัสว็องโดม และทิศตะวันตกติดกับโบสถ์แซ็ง-โอกุสแต็ง
ตัวอาคารเป็นแบบเทวสถานโรมันทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบไปด้วยเสาโรมันสูง 20 เมตร จำนวน 52 ต้น โดยนำแบบมาจากแมซงกาเรอันเป็นเทวสถานยุคโรมันที่สมบูรณ์ที่สุด ที่หลงเหลือจนถึงปัจจุบัน หน้าจั่วเป็นรูปปั้นนูนสูงฝีมือของเลอแมร์ บอกเล่าเรื่องราวของการพิพากษาครั้งสุดท้าย ประตูโบสถ์ทำจากทองแดงสลักนูนต่ำเรื่องราวของบัญญัติสิบประการ ภายในประกอบไปด้วยทางเดินกลาง ด้านบนมีโดม จำนวน 3 โดม ไม่มีแขนกางเขน อันเป็นแบบวิหารโรมันทั่วไป ด้านในตกแต่งประดับประดาแบบห้องอาบน้ำตามสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และเหนือแท่นบูชามีรูปปั้นนักบุญมารีย์ชาวมักดาลาขึ้นสวรรค์ ด้านบนเป็นภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าประวัติของศาสนาคริสต์



ภูเขาไฟเปอเล - Montagne Pelée




ภูเขาไฟเปอเล (ฝรั่งเศส: Montagne Pelée, อังกฤษ: Mount Pelée) เป็นภูเขาไฟมีพลังบนปลายด้านทิศเหนือของ หมู่เกาะเวสต์อินดี ฝรั่งเศส ในทะเลแคริบเบียน มีลักษณะเป็นกรวยภูเขาไฟสลับชั้น ส่วนกรวยประกอบด้วยชั้นของเถ้าธุลีภูเขาไฟและลาวาที่แข็งตัว
Mount Pelée เป็นที่รู้จักเนื่องเมื่อ พ.ศ. 2445 และผลจากการทำลายซึ่งถูกจัดให้เป็นภัยพิบัติจากภูเขาไฟที่รุนแรงที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีผู้ประสบภัยประมาณ 26,000-36,000 คน และทำให้เมือง Saint-Pierre ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดใน Martinique ถูกทำลาย รวมทั้งผู้ว่าการของเมืองได้เสียชีวิตในภัยพิบัติครั้งนั้น

การปะทุเมื่อ พ.ศ. 2445


ก่อนที่จะเกิดการปะทุเมื่อ พ.ศ. 2445 เริ่มมีสัญญาณว่าเกิดพุแก๊สเพิ่มมากขึ้นในปล่อง Étang Sec ใกล้กับยอดเขามาตั้งแต่ฤดูร้อนใน พ.ศ. 2443 ไอน้ำที่ปะทุขึ้นมาเล็กน้อยใน พ.ศ. 2335 และ พ.ศ. 2394 แสดงให้เห็นว่าภูเขาไฟลูกนี้ยังมีพลังและมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอันตราย คนพื้นเมืองชาวแคริบรู้จักภูเขาไฟลูกนี้ในฐานะ "ภูเขาอัคคี" จากการปะทุครั้งก่อนหน้าตั้งแต่โบราณกาล
แม้ว่าเวลาก่อนหน้านั้น เท่าที่มีคนทราบ ภูเขาไฟนี้ยังคงสงบเรื่อยมา แต่ก็เริ่มปะทุขึ้นในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2445 เมื่อต้นเดือนเมษายน ได้มีนักเดินทางบันทึกไว้ว่ามีไอกำมะถันลอยออกมาจากพุแก๊สใกล้กับยอดเขา แต่ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญกับบันทึกครั้งนี้ เนื่องจากในอดีตเคยมีพุแก๊สเกิดขึ้นและหายไปอยู่หลายครั้ง
  • 23 เมษายน - ภูเขาไฟพ่นกรวดภูเขาไฟซึ่งตกโปรยปรายบนด้านทิศใต้และทิศตะวันตกของภูเขาไฟ
  • 25 เมษายน - ยอดภูเขาไฟพ่นกลุ่มควันซึ่งเต็มไปด้วยหินและเถ้าธุลีออกมา แต่ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงนัก
  • 26 เมษายน - พื้นที่รอบๆเต็มไปด้วยเถ้าธุลีภูเขาไฟกระจัดกระจายอยู่ทั่ว แต่ทางฝ่ายบริหารของเมืองยังคงไม่ประกาศภาวะฉุกเฉิน
  • 27 เมษายน - นักเดินทางจำนวนมากปีนขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อสำรวจปล่อง Étang Sec ซึ่งขณะนั้นมีน้ำอยู่เต็ม เกิดเป็นทะเลสาบขนาดกว้าง 180 เมตร มีกองเศษหินภูเขาไฟสูง 15 เมตรตั้งอยู่ที่ด้านหนึ่งของทะเลสาบ มีเสียงคล้ายน้ำเดือดในหม้อดังออกมาจากใต้ดิน ขณะที่ในเมืองซึ่งอยู่ห่างจากภูเขาไฟถึง 4 ไมล์เริ่มมีกลิ่นรุนแรงของกำมะถันแพร่กระจายไปทั่ว
  • 30 เมษายน - น้ำในแม่น้ำแม่น้ำ Roxelane และ Rivière des Pères เอ่อล้น ไหลพัดพาเอาหินและต้นไม้ลงจากยอดเขา หมู่บ้าน Prêcheur และ Ste. Philomène ได้รับผลกระทบจากกลุ่มเถ้าธุลีที่พัดเข้าปกคลุมอย่างต่อเนื่อง
  • 2 พฤษภาคม - เวลา 11.30 น. เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงบนภูเขาไฟ ตามมาด้วยแผ่นดินไหว และควันดำหนาจำนวนมหาศาลพวยพุ่งขึ้น พื้นที่ครึ่งหนึ่งของเกาะด้านทิศเหนือถูกปกคลุมด้วยเถ้าธุลีและหินพัมมิซเป็นเม็ดละเอียด การระเบิดดำเนินอยู่ราว 5-6 ชั่วโมง ปศุสัตว์เริ่มล้มตายลงด้วยความโหยหิวและกระหายน้ำ เนื่องจากแหล่งน้ำและอาหารปนเปื้อนด้วยเถ้าธุลี




ออแตลเดอวีล (ฝรั่งเศส: Hôtel de Ville) เป็นสถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในเขตที่ 4 โดยเป็นศาลาว่าการกรุงปารีส มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1357 และยังใช้เป็นจวนผู้ว่าราชการกรุงปารีส ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 เป็นต้นมา รวมถึงห้องจัดงานต่าง ๆ ด้วย
ราวปี ค.ศ. 1533 พระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 แห่งฝรั่งเศสเป็นผู้ริเริ่มให้มีการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ทดแทนอาคารหลังเดิม (Maison aux Piliers - House of Pillars) ที่ใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1357 เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของกรุงปารีส โดยในสมัยนั้นตรงกับช่วงที่เจริญสูงสุดของยุคเรอแนซ็องส์ โดยว่าจ้างสถาปนิกเลื่องชื่อชาวอิตาลี โดเมนีโก ดา กอร์โตนา (หรือ "บอกกาดอร์") กับสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ปีแยร์ ช็องบีฌ ได้รื้ออาคารหลังเก่าและสร้างใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยในขณะนั้น คือ เรอแนซ็องส์ อันประกอบไปด้วยหอคอย หน้าต่างอันวิจิตร ห้องโถงที่โปร่งตกแต่งอย่างงดงาม และงานตกแต่งด้านนอกอย่างพิถีพิถัน ตัวอาคารได้เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1628 ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส
อีกในช่วง 2 ศตวรรษต่อมา เป็นช่วงที่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในกรุงปารีส เช่น การปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นต้น ออแตลเดอวีลได้ถูกใช้เป็นฐานของกองกำลังปฏิวัติปารีส หรือ Paris Commune ในปี ค.ศ. 1871 และได้ถูกทำลายลงในระหว่างการสู้รบระหว่างกองกำลังของทั้งสองฝ่าย จนเหลือแต่โครงหินเป็นซากปรักหักพังในที่สุด
อาคารศาลาว่าการในปัจจุบันได้ถูกบูรณะครั้งใหญ่ช่วงปีค.ศ. 1873 - ค.ศ. 1882 โดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส 2 คน ผู้ชนะการแข่งขันประกวด คือเตโอดอร์ บาลูว์ และเอดัวร์ เดอแปร์ต โดยสร้างจากโครงหินที่เหลือรอดจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ สร้างใหม่ในสถาปัตยกรรมเรอแนซ็องส์แบบฝรั่งเศส โดยผนังด้านนอกเลียนแบบงานยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในขณะที่งานตกแต่งภายในเป็นงานอย่างคริสต์ศตวรรษที่ 18 ราวปี ค.ศ. 1880