วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มหาวิหารอามีแย็ง - Cathédrale Notre-Dame d'Amiens





                   มหาวิหารอามีแย็ง (หรืออาเมียง) (อังกฤษAmiens Cathedral) มีชื่อเต็มว่า อาสนวิหารแม่พระแห่งอามีแย็ง (ฝรั่งเศส:Cathédrale Notre-Dame d'Amiens กาเตดราลน็อทร์-ดามดามีแย็ง) เป็นมหาวิหารที่สูงที่สุดในประเทศฝรั่งเศส มีฐานะเป็นอาสนวิหาร ประจำมุขมณฑลอาเมียง มีเนื้อที่ภายในกว้างใหญ่ถึง 200,000 ตารางเมตร หลังคาโค้งกอธิคสูง 42.30 เมตรซึ่งเป็นหลังคาแบบกอทิกที่สูงที่สุดในฝรั่งเศส ตัวมหาวิหารตั้งอยู่ที่เมืองอามีแย็ง ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของแคว้นปีการ์ดีในหุบเขาซอม (Somme) อยู่เหนือจากกรุงปารีสประมาณ 100 กิโลเมตร

ประวัติ

ด้านหน้าโบสถ์สร้างครั้งเดียวเสร็จระหว่างปี ค.ศ. 1220 ถึง ค.ศ. 1236 ลักษณะจึงกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตอนล่างสุดของด้านหน้าโบสถ์เป็นประตูเว้าลึกใหญ่สามประตู เหนือระดับประตูขึ้นไปชั้นหนึ่งเป็นหินสลักขนาดใหญ่กว่าองค์จริงของพระเจ้าแผ่นดิน 22 พระองค์เรียงเป็นแนวตลอดด้านหน้ามหาวิหารภายใต้หน้าต่างกุหลาบ สองข้างด้านหน้าประกบด้วยหอใหญ่สองหอ หอด้านใต้สร้างเสร็จเมื่อปี ค. ศ. 1366 หอทางทิศเหนือสร้างเสร็จ 40 ปีต่อมาเมื่อปี ค. ศ. 1406 และเป็นหอที่สูงกว่า
เอกสารที่เกี่ยวกับประวัติการสร้างมหาวิหารนี้ถูกทำลายไปหมดเมื่อสถานที่เก็บรักษาเอกสารสำคัญของโบสถ์ถูกไฟไหม้ไปเมื่อปีค. ศ. 1218 และอีกครั้งเมื่อปีค. ศ. 1258 ครั้งหลังนี้ไฟได้ทำลายตัวมหาวิหารด้วย ต่อมาพระสังฆราชเอวราร์เดอฟูยี (Bishop Evrard de Fouilly) เริ่มสร้างมหาวิหารใหม่แทนมหาวิหารเดิมที่ไหม้ไปเมื่อ ค. ศ. 1220 โดยมีรอแบร์ เดอ ลูซาร์ช (Robert de Luzarches) เป็นสถาปนิก และลูกชายของรอแบร์ คือ เรอโน เดอ กอร์มง (Renaud de Cormont) เป็นสถาปนิกต่อมาจนถึงค. ศ. 1288
จดหมายเหตุกอร์บี (Chronicle of Corbie) บันทึกไว้ว่ามหาวิหารสร้างเสร็จเมื่อ ค. ศ. 1266 แต่ก็ยังมีการปิดงานต่อมา พื้นโถงกลางภายในมหาวิหารตกแต่งเป็นลวดลายต่าง ๆ หลายชนิดรวมทั้งลายสวัสดิ ลายวนเขาวงกต (labyrinth) ซึ่งปูเมื่อปีค. ศ. 1288 นอกจากนั้นก็มีระเบียงรูปปั้นไม่ใหญ่นัก 3 ระเบียง 2 ระเบียงอยู่ด้านเหนือและด้านใต้ของบริเวณร้องเพลงสวด และระเบียงที่ 3 อยู่ทางด้านตะวันเหนือของแขนกางเขน เป็นเรื่องราวของนักบุญต่าง ๆ รวมทั้งชีวประวัติของนักบุญยอห์นแบปติสต์ มหาวิหารกล่าวว่าเป็นเจ้าของเรลิกชิ้นสำคัญคือศีรษะของนักบุญยอห์นแบปติสต์ ซึ่งวัดได้มาจาก วอลลัน เดอ ซาตอง (Wallon de Sarton) ผู้ไปนำมาจากคอนสแตนติโนเปิล เมื่อกลับมาจากสงครามครูเสด ครั้งที่ 4
รูปปั้นด้านหน้าข้างประตูมหาวิหารที่บอกได้ว่าเป็นนักบุญที่มาจากแถว ๆ อามีแย็งก็ได้แก่ นักบุญวิกโตรีกุส, ฟูเซียน, และเจ็นเตียง (St. Victoricus, St. Fuscian, และ St. Gentian) มรณสักขีไม่นานจากกันในคริสต์ศควรรษที่ 3 กล่าวกันว่าเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 7 บิชอปโฮโนราตุส (Bishop Honoratus) ผู้เป็นบิชอปองค์ที่ 7 ของมหาวิหารอามีแย็งได้ขุดพบเรลิกของนักบุญทั้งสาม เมื่อพระเจ้าฌีลเดอแบร์ที่ 2 แห่งปารีส (Childebert II) พยายามยึดเรลิกก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อไม่สามารถทำได้ก็ทรงอุทิศเงินก้อนใหญ่ให้กลุ่มลัทธิของผู้นิยมนักบุญทั้งสามและทรงส่งช่างทองมาทำเครื่องตกแต่งเพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญ
นักบุญอื่นที่เป็นนักบุญท้องถิ่นที่มีรูปปั้นอยู่หน้าประตูคือนักบุญโดมิเทียส (St. Domitius) ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ผู้เคยเป็นนักบวชที่มหาวิหาร นักบุญอุลเฟีย (St. Ulphia) ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ผู้เคยเป็นลูกศิษย์ของนักบุญอุลเฟียและเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มสตรีผู้เคร่งศาสนาในบริเวณอาเมียง นักบุญแฟแมง (St. Fermin) ในคริสต์ศตวรรษที่ 3 ผู้ถูกประหารชีวิตที่อาเมียง 

ประตูด้านหน้ามหาวิหารและหน้าบัน

ประตูใหญ่สามประตูด้านหน้า --ซ้ายประตูนักบุญแฟร์แมง กลางประตูการตัดสินครั้งสุดท้าย ขวาประตูพระแม่มารี
แสดงรูปสลักเหนือประตูกลาง รูปวัดตัดสินสุดท้ายที่มีพระเยซูกลับมาเป็นประธานล้อมรอบด้วยแนวรูปปั้นใหญ่สองข้างและรูปปั้นเล็กรายรอบโค้งแหลมเหนือรูปสลักใหญ่
ประตูทางเข้ามหาวิหารด้านหน้าเป็นประตูใหญ่สามประตูเว้าลึกเข้าไปในตัวมหาวิหาร เหนือแต่ละประตูตกแต่งมีภาพแกะสลักใหญ่ที่หน้าบัน ล้อมเป็นกรอบสองข้างประตูรายด้วยรูปแกะสลักใหญ่กว่าคนของนักบุญและศาสดายืนบนแท่นที่ภายใต้ฐานที่มีผู้แบกเล็กๆ อยู่ กรอบด้านบนโค้งเป็นรูปสลักเล็กๆ เรียงเป็นแนว
ประตูที่สำคัญที่สุดเป็นรูปสลักเมื่อพระเยซูทรงกลับมาเป็นประธานในการตัดสินครั้งสุดท้าย (Resurrection of the Body และ Last Judgement) กลางรูปจะเป็นพระเยซูทรงนั่งเป็นประธานในการเลือกว่าผู้ใดจะได้เลือกขึ้นสวรรค์และผู้ใดจะถูกส่งลงนรก สองข้างพระองค์จะมีพระแม่มารีย์ และยอห์นอัครทูต และทูตสวรรค์ถืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน และหมู่ทูตสวรรค์ ในวันการตัดสินครั้งสุดท้าย มนุษย์ทุกคนที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกก็ฟื้นขึ้นมาจากหลุมศพเพื่อจะได้ถูกตัดสิน ผู้ที่ได้เลือกขึ้นสวรรค์ก็จะมีหน้าตาอิ่มเอิบมีนางฟ้าเทวดารอรับอยู่ กลุ่มนี้เรียกว่า “the Elect” อีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกส่งลงนรกจะเรียกว่า “the Damned” กลุ่มหลังนี้ประติมากรแกะภาพสยดสยองต่างของผู้ตกนรกที่ถูกไล่เสียบแทงโดยปีศาจอสุรกายต่างๆ
ประตูที่ด้านขวาเป็นประตูเทิดพระเกียรติพระแม่มารีย์ ตรงกลางเป็นรูปพระแม่มารีย์ห่มผ้ายาวอุ้มพระเยซูในมือซ้าย มือขวายื่นออกไปราวจะต้อนรับผู้มีศรัทธาเข้าสู่โบสถ์ ประตูด้านซ้ายเป็นประตูนักบุญแฟแมงซึ่งเป็นนักบุญท้องถิ่น[1]
ทุกปีทางโบสถ์จะจัดให้มีการแสดงแสงเสียงด้านหน้าวัดที่น่าประทับใจโดยการเล่าเรื่องราวความเป็นมาของโบสถ์ ที่น่าสนใจที่สุดก็คือการแสดงการส่องแสง (Son et lumière) ที่พยายามแสดงให้เห็นว่าหน้าโบสถ์ยุคกลางที่เคยเป็นสีสันฉูดฉาดซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงสีหินธรรมชาติเรียบๆเป็นอย่างไร
มหาวิหารอาเมียงได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1981

มหาวิหารสทราซบูร์ - Cathédrale Notre-Dame-de-Strasbourg





มหาวิหารสทราซบูร์ หรือ อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งสทราซบูร์ (ฝรั่งเศส: Cathédrale Notre-Dame-de-Strasbourg, เยอรมัน:Liebfrauenmünster zu Straßburg) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกที่มีฐานะเป็นอาสนวิหาร ตั้งอยู่ที่เมืองสทราซบูร์ แคว้นอาลซัส ประเทศฝรั่งเศสอันเป็นที่ตั้งของอัครมุขมณฑลสทราซบูร์ (Archdiocese of Strasbourg) ส่วนหลักของสถาปัตยกรรมเป็นแบบโรมาเนสก์ แต่ยังมีส่วนประกอบที่สำคัญของสถาปัตยกรรมแบบกอทิกตอนปลายที่งดงามที่สุดแห่งหนี่ง โดยมีสถาปนิกชาวเยอรมัน เออร์วิน วอน สไตน์บัค (Erwin von Steinbach) เป็นผู้ดูแลการออกแบบและก่อสร้างในช่วงปีค.ศ. 1277 จนถึง ค.ศ. 1318
มหาวิหารแห่งสทราซบูร์ เคยได้รับการบันทึกเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในโลก ในช่วงปีค.ศ. 1647 จนถึงปีค.ศ. 1874 ด้วยความสูงถึง 142 เมตร ซึ่งในปัจจุบัน ถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดอันดับที่หกของโลก และสูงที่สุดเป็นอันดับสองรองจากมหาวิหารรูอ็อง และยังถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดที่สร้างในยุคกลาง ที่ยังคงสภาพอยู่ในปัจจุบัน
มหาวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก รวมกับกร็องดีล อันเป็นเกาะที่ตั้งของมหาวิหาร ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมปีละประมาณ 4 ล้านคน โดยถือเป็นมหาวิหารที่มีนักท่องเที่ยวต่อปีมากที่สุดรองจากมหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส

อาร์ชเดอลาเดฟ็องส์ Arche de la Défense


อาร์ชเดอลาเดฟ็องส์ (ฝรั่งเศสArche de la Défense) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ประตูใหญ่แห่งภราดรภาพ (Grande Arche de la Fraternité, "ช่องโค้งใหญ่แห่งภราดรภาพ") เป็นอนุสรณ์สถานตั้งอยู่บนย่านลาเดฟ็องส์ ทางทิศตะวันตกของกรุงปารีส ส่วนมากมักจะเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า "อาร์ชเดอลาเดฟ็องส์" หรือ "ลากร็องดาร์ช" (La Grande Arche, "ช่องโค้งใหญ่")

ประวัติ

ประธานาธิบดีแต่ละคน: ฌอร์ฌ ปงปีดู (โครงการของไอ. เอ็ม. เป่ย), วาเลรี ฌิสการ์ แด็สแต็ง (โครงการของฌ็อง วีแลร์วาล) ต่างต้องการที่จะสร้างอนุสาวรีย์สถาปัตยกรรมต่าง ๆ บนแกนกลางอันเก่าแก่
ในความเป็นจริงแล้ว โครงการได้ริเริ่มในปี พ.ศ. 2526 หลังจากการแข่งขัน "แต็ตเดฟ็องส์" (Tête Défense) จัดโดยประธานาธิบดีฟร็องซัว มีแตร็องเพื่อที่จะหาสิ่งก่อสร้างเพื่อที่จะขยายแกนกลางอันเก่าแก่ให้ยาวขึ้น จากเดิมเริ่มต้นที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ผ่านเสาโอเบลิสก์ที่จัตุรัสลากงกอร์ดและประตูชัยฝรั่งเศสที่จัตุรัสชาร์ล เดอ โกล โดยการแข่งขันครั้งนี้มีแบบโครงการกว่า 484 ชิ้นจากทั่วโลกเข้าร่วมแข่งขัน ผลปรากฏว่าโครงการของโยฮันน์ ออตโต ฟอน สเปร็กเคลเซน สถาปนิกชาวเดนมาร์กได้ถูกรับเลือกจากโครงการทั้งหมด
บริษัทบูอีก (Bouygues) ได้ทำการก่อสร้างโครงการดังกล่าว เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ได้มีพิธีเปิดในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2532 ซึ่งเป็นการครบรอบการปฏิวัติฝรั่งเศส 200 ปีและยังเป็นปีที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพการประชุมจี 7 อีกด้วย
ประตูแห่งนี้สร้างบนแกนตะวันออก - ตะวันตกของกรุงปารีส ซึ่งสามารถมองเห็นจากอาร์กเดอทรียงฟ์และสวนตุยเลอรี

อนุสาวรีย์

โยฮันน์ ออตโต ฟอน สเปร็กเคลเซนได้ออกแบบอาร์ชเดอลาเดฟ็องส์ โดยีจุดประสงค์ให้เป็นประตูชัยฝรั่งเศสในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 20: อนุสาวรีย์ที่ออกแบบเพื่อมวลมนุษยชนและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ ไม่ใช่อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะอีกต่อไป แต่ทว่าโยฮันน์ ออตโต ฟอน สเปร็กเคลเซนได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2530 ซึ่งปอล อ็องเดรอได้รับงานต่อจากเขา
อาร์ชเดอลาเดฟ็องส์มีลักษณะเหมือนลูกบาศก์มาก (กว้าง 108 เมตร / สูง 110 เมตร / ลึก 112 เมตร)
พื้นผิวภายนอกของประตูนั้นเป็นกระจกหนา 5 เซนติเมตร โดยมีการป้องกันการเสียหายของกระจกโดยเฉพาะและสามารถต้านทานลมแรงได้

ปงอาแล็กซ็องดร์-ทรัว Pont Alexandre-III


ปงอาแล็กซ็องดร์-ทรัว หรือ สะพานอะเลคซันดร์ที่ 3 (ฝรั่งเศส: Pont Alexandre-III) เป็นสะพานโค้งพาดผ่านแม่น้ำแซน เชื่อมต่อทั้งสองฝั่งแม่น้ำด้านฝั่งหอไอเฟลกับฝั่งช็องเซลีเซเข้าด้วยกัน โดยได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นสะพานที่ประดับประดาไปด้วยงานศิลปะชั้นเลิศ และหรูหราที่สุดในปารีส โดยในปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์แห่งฝรั่งเศส

ประวัติ

ตัวสะพานสร้างช่วงปี ค.ศ. 1896-1900 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว ประกอบไปด้วยโคมไฟอันวิจิตร รูปปั้นทูตสวรรค์ เทพธิดา และม้าบินตั้งอยู่บนเสาหินฝั่งละ 2 เสา โดยได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่ สมเด็จพระจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย ที่ได้ตกลงสัญญาพันธมิตรระหว่างสองประเทศในปี ค.ศ. 1892 โดยมีเจ้าชายนีโคไลเป็นมกุฎราชกุมาร ในขณะนั้นเป็นผู้วางศิลาฤกษ์ในปี ค.ศ. 1886 โดยพื้นฐานทางสถาปัตยกรรมมีความคล้ายคลึงกับของอาคารกร็องปาแลซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไม่ไกลนัก
การก่อสร้างสะพานนี้ถือเป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมแห่งยุคศตวรรษที่ 19 เป็นอย่างยิ่ง โดยการสร้างสะพานโค้งแบบไม่มีเสา โดยตัวสะพานสูง 6 เมตร ทำจากเหล็กกล้า ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกโฌแซ็ฟ กาเซียง-แบร์นาร์ และกัสตง กูแซ็ง โดยมีข้อแม้ว่าห้ามบดบังทัศนียภาพของช็องเซลีเซและเลแซ็งวาลีดโดยเด็ดขาด
สะพานถูกสร้างโดยวิศวกรฌ็อง เรซาล และอาเมเด ดาลบี และเปิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1900 สำหรับงาน Exposition Universelle พร้อม ๆ ไปกับกร็องปาแล



โบสถ์ลามาดแลน - L'église de la Madeleine






โบสถ์ลามาดแลน (ฝรั่งเศส: L'église de la Madeleine) มีชื่อเรียกเต็มว่า โบสถ์นักบุญมารีย์ชาวมักดาลา (ฝรั่งเศส: L'église Sainte-Marie-Madeleine) เรียกกันอย่างลำลองในฝรั่งเศสว่า มาดแลน เป็นโบสถ์สำคัญในคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ในสังกัดอัครมุขมณฑลปารีส ที่สร้างอุทิศแก่นักบุญมารีย์ชาวมักดาลา ถือเป็นสถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในเขตที่ 8 ติดกับจัตุรัสเดอลากงกอร์ด ทางด้านทิศใต้ ทิศตะวันออกติดกับจัตุรัสว็องโดม และทิศตะวันตกติดกับโบสถ์แซ็ง-โอกุสแต็ง
ตัวอาคารเป็นแบบเทวสถานโรมันทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบไปด้วยเสาโรมันสูง 20 เมตร จำนวน 52 ต้น โดยนำแบบมาจากแมซงกาเรอันเป็นเทวสถานยุคโรมันที่สมบูรณ์ที่สุด ที่หลงเหลือจนถึงปัจจุบัน หน้าจั่วเป็นรูปปั้นนูนสูงฝีมือของเลอแมร์ บอกเล่าเรื่องราวของการพิพากษาครั้งสุดท้าย ประตูโบสถ์ทำจากทองแดงสลักนูนต่ำเรื่องราวของบัญญัติสิบประการ ภายในประกอบไปด้วยทางเดินกลาง ด้านบนมีโดม จำนวน 3 โดม ไม่มีแขนกางเขน อันเป็นแบบวิหารโรมันทั่วไป ด้านในตกแต่งประดับประดาแบบห้องอาบน้ำตามสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และเหนือแท่นบูชามีรูปปั้นนักบุญมารีย์ชาวมักดาลาขึ้นสวรรค์ ด้านบนเป็นภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าประวัติของศาสนาคริสต์



ภูเขาไฟเปอเล - Montagne Pelée




ภูเขาไฟเปอเล (ฝรั่งเศส: Montagne Pelée, อังกฤษ: Mount Pelée) เป็นภูเขาไฟมีพลังบนปลายด้านทิศเหนือของ หมู่เกาะเวสต์อินดี ฝรั่งเศส ในทะเลแคริบเบียน มีลักษณะเป็นกรวยภูเขาไฟสลับชั้น ส่วนกรวยประกอบด้วยชั้นของเถ้าธุลีภูเขาไฟและลาวาที่แข็งตัว
Mount Pelée เป็นที่รู้จักเนื่องเมื่อ พ.ศ. 2445 และผลจากการทำลายซึ่งถูกจัดให้เป็นภัยพิบัติจากภูเขาไฟที่รุนแรงที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีผู้ประสบภัยประมาณ 26,000-36,000 คน และทำให้เมือง Saint-Pierre ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดใน Martinique ถูกทำลาย รวมทั้งผู้ว่าการของเมืองได้เสียชีวิตในภัยพิบัติครั้งนั้น

การปะทุเมื่อ พ.ศ. 2445


ก่อนที่จะเกิดการปะทุเมื่อ พ.ศ. 2445 เริ่มมีสัญญาณว่าเกิดพุแก๊สเพิ่มมากขึ้นในปล่อง Étang Sec ใกล้กับยอดเขามาตั้งแต่ฤดูร้อนใน พ.ศ. 2443 ไอน้ำที่ปะทุขึ้นมาเล็กน้อยใน พ.ศ. 2335 และ พ.ศ. 2394 แสดงให้เห็นว่าภูเขาไฟลูกนี้ยังมีพลังและมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอันตราย คนพื้นเมืองชาวแคริบรู้จักภูเขาไฟลูกนี้ในฐานะ "ภูเขาอัคคี" จากการปะทุครั้งก่อนหน้าตั้งแต่โบราณกาล
แม้ว่าเวลาก่อนหน้านั้น เท่าที่มีคนทราบ ภูเขาไฟนี้ยังคงสงบเรื่อยมา แต่ก็เริ่มปะทุขึ้นในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2445 เมื่อต้นเดือนเมษายน ได้มีนักเดินทางบันทึกไว้ว่ามีไอกำมะถันลอยออกมาจากพุแก๊สใกล้กับยอดเขา แต่ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญกับบันทึกครั้งนี้ เนื่องจากในอดีตเคยมีพุแก๊สเกิดขึ้นและหายไปอยู่หลายครั้ง
  • 23 เมษายน - ภูเขาไฟพ่นกรวดภูเขาไฟซึ่งตกโปรยปรายบนด้านทิศใต้และทิศตะวันตกของภูเขาไฟ
  • 25 เมษายน - ยอดภูเขาไฟพ่นกลุ่มควันซึ่งเต็มไปด้วยหินและเถ้าธุลีออกมา แต่ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงนัก
  • 26 เมษายน - พื้นที่รอบๆเต็มไปด้วยเถ้าธุลีภูเขาไฟกระจัดกระจายอยู่ทั่ว แต่ทางฝ่ายบริหารของเมืองยังคงไม่ประกาศภาวะฉุกเฉิน
  • 27 เมษายน - นักเดินทางจำนวนมากปีนขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อสำรวจปล่อง Étang Sec ซึ่งขณะนั้นมีน้ำอยู่เต็ม เกิดเป็นทะเลสาบขนาดกว้าง 180 เมตร มีกองเศษหินภูเขาไฟสูง 15 เมตรตั้งอยู่ที่ด้านหนึ่งของทะเลสาบ มีเสียงคล้ายน้ำเดือดในหม้อดังออกมาจากใต้ดิน ขณะที่ในเมืองซึ่งอยู่ห่างจากภูเขาไฟถึง 4 ไมล์เริ่มมีกลิ่นรุนแรงของกำมะถันแพร่กระจายไปทั่ว
  • 30 เมษายน - น้ำในแม่น้ำแม่น้ำ Roxelane และ Rivière des Pères เอ่อล้น ไหลพัดพาเอาหินและต้นไม้ลงจากยอดเขา หมู่บ้าน Prêcheur และ Ste. Philomène ได้รับผลกระทบจากกลุ่มเถ้าธุลีที่พัดเข้าปกคลุมอย่างต่อเนื่อง
  • 2 พฤษภาคม - เวลา 11.30 น. เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงบนภูเขาไฟ ตามมาด้วยแผ่นดินไหว และควันดำหนาจำนวนมหาศาลพวยพุ่งขึ้น พื้นที่ครึ่งหนึ่งของเกาะด้านทิศเหนือถูกปกคลุมด้วยเถ้าธุลีและหินพัมมิซเป็นเม็ดละเอียด การระเบิดดำเนินอยู่ราว 5-6 ชั่วโมง ปศุสัตว์เริ่มล้มตายลงด้วยความโหยหิวและกระหายน้ำ เนื่องจากแหล่งน้ำและอาหารปนเปื้อนด้วยเถ้าธุลี




ออแตลเดอวีล (ฝรั่งเศส: Hôtel de Ville) เป็นสถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในเขตที่ 4 โดยเป็นศาลาว่าการกรุงปารีส มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1357 และยังใช้เป็นจวนผู้ว่าราชการกรุงปารีส ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 เป็นต้นมา รวมถึงห้องจัดงานต่าง ๆ ด้วย
ราวปี ค.ศ. 1533 พระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 แห่งฝรั่งเศสเป็นผู้ริเริ่มให้มีการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ทดแทนอาคารหลังเดิม (Maison aux Piliers - House of Pillars) ที่ใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1357 เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของกรุงปารีส โดยในสมัยนั้นตรงกับช่วงที่เจริญสูงสุดของยุคเรอแนซ็องส์ โดยว่าจ้างสถาปนิกเลื่องชื่อชาวอิตาลี โดเมนีโก ดา กอร์โตนา (หรือ "บอกกาดอร์") กับสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ปีแยร์ ช็องบีฌ ได้รื้ออาคารหลังเก่าและสร้างใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยในขณะนั้น คือ เรอแนซ็องส์ อันประกอบไปด้วยหอคอย หน้าต่างอันวิจิตร ห้องโถงที่โปร่งตกแต่งอย่างงดงาม และงานตกแต่งด้านนอกอย่างพิถีพิถัน ตัวอาคารได้เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1628 ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส
อีกในช่วง 2 ศตวรรษต่อมา เป็นช่วงที่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในกรุงปารีส เช่น การปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นต้น ออแตลเดอวีลได้ถูกใช้เป็นฐานของกองกำลังปฏิวัติปารีส หรือ Paris Commune ในปี ค.ศ. 1871 และได้ถูกทำลายลงในระหว่างการสู้รบระหว่างกองกำลังของทั้งสองฝ่าย จนเหลือแต่โครงหินเป็นซากปรักหักพังในที่สุด
อาคารศาลาว่าการในปัจจุบันได้ถูกบูรณะครั้งใหญ่ช่วงปีค.ศ. 1873 - ค.ศ. 1882 โดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส 2 คน ผู้ชนะการแข่งขันประกวด คือเตโอดอร์ บาลูว์ และเอดัวร์ เดอแปร์ต โดยสร้างจากโครงหินที่เหลือรอดจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ สร้างใหม่ในสถาปัตยกรรมเรอแนซ็องส์แบบฝรั่งเศส โดยผนังด้านนอกเลียนแบบงานยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในขณะที่งานตกแต่งภายในเป็นงานอย่างคริสต์ศตวรรษที่ 18 ราวปี ค.ศ. 1880

หาดโอมาฮา



หาดโอมาฮา (อังกฤษ: Omaha Beach) เป็นรหัสเรียกขานของจุดยกพลขึ้นบก หนึ่งในห้าส่วนของการโจมตีเขตยึดครองของเยอรมันในประเทศฝรั่งเศส โดยฝ่ายสัมพันธมิตรในการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ชายหาดตั้งอยู่ที่ชายฝั่งทะเลนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส หันหน้าเข้าสู่ช่องแคบอังกฤษ มีระยะทางยาว 8 กิโลเมตร จากทางตะวันออกของแซ็งต์-โอโนรีน์-เดส-แปร์เตส (Sainte-Honorine-des-Pertes) ถึงทางตะวันตกของเวียร์วีย์-ซูร์-แมร์ (Vierville-sur-Mer) บนฝั่งขวาของชะวากทะเลแม่น้ำดูฟว์ (Douve)
กองกำลังสัมพันธมิตรทำการบุกโจมตีกองทัพนาซีเยอรมันที่ยึดครองประเทศฝรั่งเศส และทวีปยุโรปอยู่ โดยเป็นการสนธิกำลังของกองพลพลร่มที่ 101 กับกองพลพลร่มที่ 82 และกองพลทหารราบที่ 4 ของสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นกองกำลังผสมกองทัพน้อยที่ 7 ภายใต้การบังคับบัญชาของ พลเอกโอมาร์ แบรดลี่ย์ โดยที่กองพลพลร่มที่ 101 กับกองพลพลร่มที่ 82 จะเดินทางโดยเครื่องบิน จากประเทศอังกฤษ กระโดดร่มลงเหนือแนวหลังของแนวป้องกันตามแนวหาดนอร์มังดีร์ เพื่อก่อกวนและโจมตี แนวป้องกัน รวมทั้งยึดพื้นที่ให้กับทางกองพลทหารราบที่ 4 เข้าบุกในตอนเช้าตรู่โดยเรือยกพลขึ้นบกเบา




พระราชวังพระสันตะปาปาแห่งอาวีญง - Palais des papes d'Avignon


พระราชวังพระสันตะปาปาแห่งอาวีญง (ฝรั่งเศส: Palais des papes d'Avignon) เป็นพระราชวังพระสันตะปาปาที่ตั้งอยู่ที่อาวีญงในประเทศฝรั่งเศส เป็นสิ่งก่อสร้างของสถาปัตยกรรมกอทิกที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป
พระราชวังพระสันตะปาปาแห่งอาวีญง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1995



ประวัติ

อาวีญงกลายมาเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 1309 เมื่อแกสคอง แบร์ทรองด์ เดอ กอธในฐานะสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 5 ไม่มีพระประสงค์ที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายต่างในกรุงโรมหลังจากที่ทรงได้รับเลือกในปี ค.ศ. 1305 พระองค์จึงทรงย้ายสภาปกครองของพระสันตะปาปา (Papal Curia) ไปตั้งที่อาวีญงในสมัยที่ต่อมาเรียกกันว่า “สมณสมัยปาปาซี” พระสันตะปาปาเคลเมนต์ประทับเป็นแขกของอารามคณะดอมินิกันในอาวีญง สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 22 พระสันตะปาปาองค์ต่อมา ทรงก่อตั้งราชสำนักอันหรูหราขึ้นที่นั่น แต่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 12 พระสันตะปาปาองค์ต่อมาทรงเป็นผู้ริเริ่มการบูรณปฏิสังขรณ์วังบิชอปเก่าอย่างจริงจัง และกระทำต่อมาในสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 6
ที่ตั้งของวังอยู่ทางเนินหินทางตอนเหนือของตัวเมืองที่มองไปทางแม่น้ำโรน เดิมวังของบิชอปแห่งอาวีญง การก่อสร้างแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกเรียกว่า “วังเดิม” (Palais Vieux) และช่วงที่สองเรียกว่า “วังใหม่” (Palais Neuf) เมื่อสร้างเสร็จเนื้อที่ของวังก็ขยายขึ้นเป็น 11,000 ตาราเมตร การก่อสร้างใช้งบประมาณไปเป็นจำนวนมหาศาลที่มาจากเงินรายได้ส่วนใหญ่ของพระสันตะปาปาในช่วงนั้น
“วังเดิม” ก่อสร้างโดยสถาปนิกปีแยร์ ปัวส์ซ็องตามโองการของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 12 ผู้ทรงสั่งให้รื้อทั้ง “วังเดิม” ทั้งหมดและสร้างวังใหม่และระเบียงฉันนบถที่ขนาดใหญ่กว่าเดิมเป็นอันมากขึ้นแทนที่ สิ่งก่อสร้างใหม่ได้รับการสร้างเสริมอย่างแข็งแรงเพื่อต่อต้านข้าศึก ที่ประกอบด้วยปีกสี่ปีกที่มีหอสูงประกบ
ตัววังมาขยายต่อไปในสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 6, สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 6 และสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 5 ที่กลายมารู้จักกันว่า “วังใหม่” พระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 6 ทรงจ้างฌาน เดอ ลูฟร์ให้สร้างหอใหม่, ตึกอีกหลังหนึ่ง และชาเปลที่ยาว 52 เมตร ต่อมาพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ก็ทรงสร้างหอใหม่อีกสองหอ พระสันตะปาปาเออร์บันสร้างลานหลักเสร็จที่เรียกว่า “Court d'Honneur” และสิ่งก่อสร้างรอบลาน การตกแต่งภายในทำอย่างหรูหราด้วยจิตรกรรมฝาผนัง, พรมแขวนผนัง, จิตรกรรม, ประติมากรรม และเพดานไม้
พระสันตะปาปาย้ายราชสำนักจากอาวีญงกลับไปโรมในปี ค.ศ. 1377 ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “ศาสนเภทพระสันตะปาปา” (Papal Schism) ที่ฝ่ายอาวีญงพยายามตั้งตนเป็นอิสระโดยการเลือกตั้งพระสันตะปาปาของตนเองที่เรียกว่า “พระสันตะปาปาเท็จ” หรือ “แอนตี้โปป” (antipope) สององค์ที่รวมทั้งสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 แห่งอาวีญง และสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 13 แห่งอาวีญง อาวีญงจึงเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาเท็จจนกระทั่งปี ค.ศ. 1408 เมื่อพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 13 ทรงถูกจำขังในพระราชวังอยู่สิบปี พระราชวังอาวีญงอยู่ในมือของพระสันตะปาปาเท็จอยู่หลายปี-ระหว่างนั้นก็ถูกล้อมระหว่างปี ค.ศ. 1410 ถึงปี ค.ศ. 1411-แต่ต่อมาก็ได้รับคืนไปเป็นของพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 1433

แม้ว่าวังพระสันตะปาปาจะได้รับคืนให้อยู่ภายใต้การปกครองของพระสันตะปาปาอีกเป็นเวลา 350 ปีต่อมา แต่สภาพของวังก็ค่อย ๆ เสื่อมโทรมลงแม้ว่าจะมีการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1516 ก็ตาม เมื่อการปฏิวัติฝรั่งเศสปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1789 วังพระสันตะปาปาก็ถูกยึดโดยนักปฏิวัติแม้ว่าสภาพของวังจะอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมอยู่แล้วก็ตาม ในปี ค.ศ. 1791 วังพระสันตะปาปาก็กลายเป็นที่เกิดเหตุการสังหารหมู่ของฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ ร่างของผู้ที่ถูกสังหารถูกโยนลงไปใน Tour des Latrines ของ “วังใหม่”
ต่อมาวังก็ถูกยึดโดยรัฐบาลของนโปเลียนเพื่อใช้เป็นค่ายทหารและคุก ตัววังก็ได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นอีกระหว่างการถูกยึดโดยเฉพาะจากฝ่ายที่ต่อต้านนักบวชของสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 เมื่อสิ่งตกแต่งภายในและงานไม้ต่างๆ ถูกขนย้ายออกไปเพื่อทำเป็นโรงม้า จิตรกรรมฝาผนังถูกฉาบทับและถูกทำลายไปเป็นส่วนใหญ่ วังเป็นสถานที่ราชการของรัฐบาลฝรั่งเศสมาจนถึงปี ค.ศ. 1906 เมื่อมาเปลี่ยนฐานะเป็นพิพิธภัณฑ์ และตั้งแต่นั้นมาวังก็ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด
ในปัจจุบันวังส่วนใหญ่เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ และเป็นสถานที่ที่ใช้ในการประชุมสัมนา และเก็บเอกสารสำคัญของฝรั่งเศส

ปงเดซาร์ - Pont des Arts




ปงเดซาร์ (ฝรั่งเศส: Pont des Arts) เป็นสะพานคนเดินเท้าข้ามแม่น้ำแซนในปารีส เชื่อมระหว่างสถาบันแห่งฝรั่งเศส (Institut de France) กับจัตุรัสหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ชื่อสะพานตั้งชื่อตามชื่อของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ซึ่งเคยมีชื่อเรียกว่า "ปาแลเดซาร์" (Palais des Arts) ในช่วงจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 เป็นสะพานเหล็กแห่งแรกที่สร้างขึ้นในปารีส
สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นราว ค.ศ. 1802-1804 ในสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เป็นสะพานเหล็กที่ประกอบด้วยช่องโค้งจำนวน 9 ช่อง สะพานถูกระงับการใช้งานในปี ค.ศ. 1976 หลังจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยพบว่าโครงสร้างสะพานเสียหายจากแรงระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และจากความเสียหายจากเรือเฉี่ยวชนหลายครั้ง
สะพานถูกสร้างขึ้นใหม่ช่วงปี ค.ศ. 1981-1984 โดยปรับลดช่องโค้งเหลือเพียง 7 ช่องเพื่อให้สอดรับกับปงเนิฟ สะพานที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ปัจจุบันนิยมใช้เป็นสถานที่จัดแสดงงานศิลปะ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของปารีส จากตำนาน "สะพานคู่รัก" ที่คู่หนุ่มสาวนิยมนำกุญแจสลักชื่อของตัวมาแขวนไว้กับราวสะพาน และโยนลูกกุญแจลงแม่น้ำแซน เป็นการแสดงคำมั่นสัญญาในความรักต่อกัน  นอกเหนือจากสะพานแห่งนี้แล้ว ยังมีสะพานอีกแห่ง คือ ปงเดอลาร์เชอเวเช 
(Pont de l'Archevêché, สะพานอาร์ชบิชอป) ที่หนุ่มสาวนิยมนำกุญแจมาแขวนไว้
ปงเดซาร์ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมสมัยนิยมหลายอย่าง เช่น เป็นฉากหลังในภาพยนตร์ Amélie และ Now You See Me

สตาดเวลอดรอม - Stade Vélodrome


สตาดเวลอดรอม (ฝรั่งเศส: Stade Vélodrome เสียงอ่านภาษาฝรั่งเศส: [stad velɔdʁɔm]) เป็นสนามกีฬาในเมืองมาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศสเป็นสนามกีฬาเหย้าของสโมสรฟุตบอลออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ ที่เล่นอยู่ในลีกเอิง และเป็นสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1998 และรักบี้เวิลด์คัป 2007 เป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส จุคนได้ 60,031 คน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะจุคนได้ 42,000 คน แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการปรับปรุงเพื่อใช้ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 สนามแห่งนี้ยังใช้เป็นสนามแข่งของรักบี้ทีมชาติฝรั่งเศสอีกด้วย
สถิติผู้เข้าชมของสนามนี้ คือ 58,897 คน (ในรอบรองชนะเลิศยูฟ่าคัพ ที่แข่งขันกับสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในปี ค.ศ. 2004) สนามแห่งนี้ยังใช้เป็นสถานที่จัดฟุตบอลโลก 1938 นัดตัดสินที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ นัดการแข่งขันฟุตบอลนัดแรกของสนามแห่งนี้เป็นการแข่งขันระหว่างมาร์แซย์กับโตรีโน ในปี ค.ศ. 1937

ปงดูว์การ์ - Pont du Gard



ปงดูว์การ์ (ฝรั่งเศส: Pont du Gard) เป็นสะพานส่งน้ำโรมันโบราณสร้างโดยจักรวรรดิโรมัน สร้างพาดผ่านแม่น้ำการ์ดง ใกล้กับเมืองเรอมูแล็ง (Remoulins) เมืองเล็ก ๆ ในจังหวัดการ์ แคว้นล็องก์ด็อก-รูซียง ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส สะพานนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบส่งน้ำของเมืองนีม มีความยาวกว่า 50 กิโลเมตร สร้างโดยชาวโรมันเพื่อส่งน้ำจากจากเมืองอูว์แซ็ส โดยระหว่างสองเมืองเป็นหุบเขา ระบบส่งน้ำที่ส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน ย้ายมาสร้างอยู่บนสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำการ์ดง นักประวัติศาสตร์คาดการณ์ว่าสะพานถูกสร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 โดยสะพานแห่งนี้จัดเป็นสะพานส่งน้ำที่สร้างในสมัยจักรวรรดิโรมันที่ยังคงสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง รองจากสะพานส่งน้ำแห่งเซโกเบีย
สะพานแห่งการ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1985 โดยองค์การยูเนสโก
มุมด้านข้างของปงดูว์การ์ จะเห็นฐานโค้งจำนวน 3 ฐาน
สะพานประกอบด้วยฐานโค้งจำนวนสามชั้น สูง 48.80 เมตร โดยระหว่างความยาวทั้งหมด ความสูงของที่ส่งน้ำต่างระดับกันประมาณเพียง 17 เมตรเท่านั้น ในขณะที่ตัวสะพานมีความสูงทั้งสองฝั่งนั้นต่างกันเพียง 2.5 เซนติเมตร ซึ่งจัดว่าเป็นความสำเร็จทางเทคโนโลยีการก่อสร้าง และความชาญฉลาดทางวิศวกรรมของชาวโรมันในอดีต ในอดีตทางส่งน้ำสามารถส่งน้ำได้ประมาณ 200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อส่งน้ำเข้ากับระบบน้ำในเมืองนีม รวมทั้งน้ำพุต่าง ๆ และโรงอาบน้ำ ปงดูว์การ์ยังถูกใช้งานจนกระทั่งประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 6 บางเขตยังใช้ได้นานกว่า แต่เนื่องจากการขาดการบำรุงรักษาที่เหมาะสม ราวศตวรรษที่ 14 ระบบส่งน้ำได้เริ่มอุดตันอันเนื่องจากการสะสมของแร่ธาตุ
ภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ระบบส่งน้ำได้ถูกทิ้งและหยุดการใช้งานลง ตัวสะพานได้ถูกรักษาไว้อย่างดีเนื่องจากการใช้งานอีกด้านหนึ่งคือเป็นสะพานข้ามเขา โดยมีการเก็บค่าผ่านทางจากนักท่องเที่ยวเพื่อข้ามแม่น้ำ โดยเหล่าบิชอปและผู้มีอำนาจในสมัยนั้น โดยนำเงินมาบำรุงซ่อมแซมอยู่เสมอ จนถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 17 หินบางส่วนได้หลุดและทลายลง และตั้งแต่สะพานแห่งการ์ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลัก ได้มีการปรับปรุงครั้งใหญ่เรื่อยมาตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนถึง 21 โดยมีรัฐบาลและหน่วยงานท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ ในปี ค.ศ. 2000 ได้มีการเปิดศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแห่งใหม่ และการย้ายสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ในบริเวณรอบที่ตั้งสะพาน และในปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส

เทศกาลภาพยนตร์เมืองกาน - Cannes Film Festival


เทศกาลภาพยนตร์เมืองกาน (อังกฤษ: Cannes Film Festival ; ฝรั่งเศส: le Festival de Cannes) เป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่มีมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1946 ถือเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเทศกาลหนึ่ง และมีอิทธิพลมากที่สุดรวมถึงชื่อเสียง เทียบเคียงกับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสและเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน งานจัดขึ้นประจำปี ราวเดือนพฤษภาคม ที่ Palais des Festivals et des Congrès ในเมืองกาน ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส
เทศกาลภาพยนตร์เมืองกานครั้งที่ 62 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2009

กร็องปาแล - Le Grand Palais des Champs-Élysées


ลอ กร็อง ปาแล เด ช็องเซลีเซ (ฝรั่งเศส: Le Grand Palais des Champs-Élysées หรือนิยมเรียกสั้นๆว่า กร็องปาแล เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของกรุงปารีส และยังเป็นสถานที่จัดนิทรรศการด้วย ตั้งอยู่ในเขตที่ 8 โดยเริ่มก่อสร้างในช่วงปีค.ศ.1897 ภายหลังจากการรื้ออาคารปาแล เดอ แลงดุสทรี (Palais de l'Industrie) เพื่อเตรียมการจัดงานนิทรรศการโลกในปีค.ศ.1900 (Universal Exposition of 1900) ซึ่งยังรวมถึงการก่อสร้าง เปอติ ปาแล และสะพานอเล็กซองเดรอที่ 3 ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย
กร็องปาแล เคยถูกผ่านการใช้งานเป็นโรงพยาบาลทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และยังเคยเป็นที่จัดแสดงการโฆษณาชวนเชื่อของนาซี ถึง 2 ครั้ง ในช่วงที่ปารีสถูกเยอรมนียึดครองสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ตัวอาคารมีลักษณะแบบสถาปัตยกรรมโบซาร์ตามแบบที่มีการสอนในสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฝรั่งเศส โดยมีลักษณะเด่นคือรายละเอียดโดยรอบบนหน้าบัน (façade) ที่สลักจากหิน และการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ทันสมัย รวมทั้งการใช้นวัตกรรมใหม่ในการก่อสร้าง อาทิเช่น โครงหลังคาเหล็กน้ำหนักเบาประดับกระจก และการใช้คอนกรีตเสริมแรงในการก่อสร้างอีกด้วย

ประวัติ

ห้องหลักภายในอาคารมีความยาวถึง 240 เมตร ซึ่งประกอบด้วยหลังคากระจก ซึ่งทำจากโครงเหล็ก ซึ่งได้รับแรงบรรดาลใจมากจากคริสตัลพาเลส ในกรุงลอนดอน โดยจุดประสงค์หลักคือเพื่อให้แสงสว่าง อันเป็นสิ่งจำเป็นในอาคารขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารนิทรรศการในยุคก่อนการใช้ไฟฟ้าเพื่อให้แสงสว่าง
ด้านนอกอาคารประกอบไปด้วยหน้าบันสลักจากหิน และงานโลหะชั้นเลิศแบบอาร์ตนูโว และรูปปั้นอีกจำนวนมากโดย Paul Gasq, Camille Lefèvre, Alfred Boucher, Alphonse-Amédée Cordonnier และ Raoul Verlet บริเวณด้านหน้าอาคาร ทั้งมุมซ้ายและขวามีงานสำริดขนาดใหญ่ข้างละ 1 ชุด
กร็องปาแลได้ทำการเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1900 โดยใช้เป็นอาคารจัดแสดงนวัตกรรมยุคใหม่(ในสมัยนั้น) อาทิเช่น รถยนต์ เครื่องบิน เครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น ซึ่งมีการจัดงานทุกปีจนกระทั่งปีค.ศ.1947 เป็นปีสุดท้าย และในภายหลังตัวอาคารได้ใช้เป็นที่จัดงานแสดงศิลปะของอองรี มาตีซ ในช่วงเดือนเมษายน ถึงกันยายน ค.ศ.1970
ตัวโครงสร้างอาคารเคยมีปัญหาการทรุดตัวหลายครั้งช่วงขณะการก่อสร้าง จึงต้องมีการเสริมรากฐานเพิ่มเติมในขณะที่การก่อสร้างต้องเป็นไปอย่างรีบเร่ง และเมื่อเวลาผ่านไปโครงสร้างเหล็กต่างๆเริ่มเกิดสนิมในโครงสร้าง ทำให้ในที่สุดหลังคากระจกได้พังทลายลงมาในปีค.ศ.1993 จึงต้องมีการปิดปรับปรุงครั้งใหญ่จนมาเปิดอีกครั้งในปีค.ศ.2007
ในปัจจุบัน กร็องปาแล ยังเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจ ที่อยู่ในชั้นใต้ดิน เพื่อช่วยดูแลความเรียบร้อยในยามที่มีงานนิทรรศการต่างๆ ในส่วนปีกตะวันตกของอาคาร เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หรือเรียกว่า ปาแล เดอ ลา เดกูแวร์ต (Palais de la Découverte)

ถ้ำลัสโก - grotte de Lascaux

              


              ถ้ำลัสโก (ฝรั่งเศสgrotte de Lascaux) ตั้งอยู่บริเวณหุบเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ภายในถ้ำมีภาพวาดยุดหิน มีอายุตั้งแต่ 15,000 ก่อนคริสต์ศักราช มีภาพวาดรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่นภาพฝูงกวาง ภาพกระทิงดำขนาดใหญ่ และภาพวาดต่าง ๆ อีกประมาณ 2,000 ภาพ

ปาแลเดอเลลีเซ - Palais de l'Élysée


ทำเนียบประธานาธิบดี หรือ ปาแล เดอ เลลีเซ (ฝรั่งเศส: Palais de l'Élysée) ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 55 ถนนรู โฟบูร์-แซ็ง-ตอนอเร่ (Rue du Faubourg-Saint-Honoré) ในเขตที่ 8 ของนครปารีส ใช้เป็นที่ทำการและที่พำนักประจำตำแหน่งของประธานาธิบดี ตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 2 ตั้งอยู่ใกล้กับช็องเซลีเซ สร้างในปีค.ศ. 1720 โดยสถาปนิกอาร์ม็อง-โคลด โมเล (Armand-Claude Mollet) เพื่อใช้เป็นคฤหาสน์ส่วนบุคคล (ฝรั่งเศส: Hôtel particulier) ของหลุยส์ อองรี เดอ ลา ตูร์ โดแวร์ญ (Louis Henri de La Tour d'Auvergne)ซึ่งต่อมากลายมาเป็นขวัญพระราชทานของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศสให้แก่มาร์ควิสปงปาดูร์ในปีค.ศ. 1573 ต่อมากลายเป็นที่พำนักหลวงของฌออากีม มูว์ราซึ่งรับพระราชทานจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1ในปีค.ศ. 1805 และต่อมาก็ยังใช้เป็นพระราชวังที่ประทับในรัชสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3
นอกจากนี้คำว่า เอลีเซ ภาษาฝรั่งเศสมักจะเรียกอย่างสั้นๆในภาษาพูดหรือภาษาเขียนโดยสื่อมวลชนเพื่อต้องการสื่อถึง ประธานาธิบดี
เจ้าบ้าน(ประจำตำแหน่ง) คนปัจจุบัน ได้แก่ ฯพณฯฟร็องซัว ออล็องด์ ประธานาธิบดี ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2012
ทำเนียบมาตีญงได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศสเมื่อปีค.ศ. 1916

ยอดเขามงบล็อง - Mont Blanc

                   




                 มงบล็อง (ฝรั่งเศสMont Blanc) หรือ มอนเตเบียนโก (อิตาลีMonte Bianco) ตั้งอยู่บริเวณพรมแดนระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับประเทศอิตาลีเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาแอลป์ มีความสูง 4,807 เมตร ทั้ง "มงบล็อง" และ "มอนเตเบียนโก" ต่างมีความหมายว่า "ภูเขาสีขาว" สภาพทั่วไปของยอดเขามีร่องรอยการกัดเซาะของธารน้ำแข็ง ยอดเขามงบล็องมีรูปร่างยอดขรุขระ เพราะเกิดจากการโกงตัวของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นคือ แผ่นเปลือกโลกแอฟริกากับแผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย แต่หินบริเวณที่โก่งตัวกลับเป็นหินทรายกับหินปูน ยอดเขาสูงบริเวณเทือกเขาแอลป์จึงสึกกร่อนได้ง่าย จึงเป็นสาเหตุให้ยอดเขามงบล็องก็มียอดแหลมขรุขระ เพราะโดนสภาพอากาศและธารน้ำแข็งกัดกร่อนมาเป็นเวลานานหลายล้านปี สภาพภูมิอากาศของยอดเขามงบล็องเป็นแบบเมติเตอร์เรเนียน บนยอดมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญของอิตาลีและฝรั่งเศส



พระราชวังช็องบอร์ - Château de Chambord


พระราชวังช็องบอร์ (ฝรั่งเศส: Château de Chambord) เป็นวังที่ตั้งอยู่ที่บนฝั่งแม่น้ำลัวร์ในช็องบอร์ในจังหวัดลัวเรแชร์ ประเทศฝรั่งเศส พระราชวังช็องบอร์เป็นวังที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดวังหนึ่งในโลกจากลักษณะสถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยาที่เป็นเอกลักษณ์ของสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะผสานระหว่างการก่อสร้างแบบยุคกลางของฝรั่งเศสกับสถาปัตยกรรมคลาสสิกของอิตาลี
พระราชวังช็องบอร์สร้างโดยพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 แห่งฝรั่งเศสสำหรับเป็นที่ประทับที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโกลด โรอ็อง พระสนมเคาน์เทสส์แห่งตูรี ภรรยาของฌูว์เลียง เคานต์แห่งแกลร์มง ซึ่งเป็นตระกูลสำคัญตระกูลหนึ่งของฝรั่งเศส ที่พำนักอยู่ที่วังมุยด์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ตราอาร์มของโคลดใช้ตกแต่งพระราชวัง
ช็องบอร์เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาวังต่าง ๆ ในลุ่มแม่น้ำลัวร์ แต่เดิมเป็นเพียงตำหนักล่าสัตว์ของพระเจ้าฟร็องซัว ผู้ทรงมีที่ประทับอยู่ที่พระราชวังบลัวและพระราชวังอ็องบวซ กล่าวกันว่าช็องบอร์เดิมออกแบบโดยโดเมนีโก ดา กอร์โตนา ผู้ที่มีจำลองไม้ที่มีอายุยืนพอที่จะให้อ็องเดร เฟลีเบียงวาดในคริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่นักเขียนบางท่านกล่าวว่าผู้มีส่วนสำคัญในการออกแบบคือสถาปนิกยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาชาวฝรั่งเศสฟีลีแบร์ เดอลอร์ม ในระยะยี่สิบปีของการก่อสร้างระหว่างปี ค.ศ. 1519 และ ค.ศ. 1547 โครงสร้างช็องบอร์ก็เปลี่ยนไปจากที่ออกแบบไว้เป็นอันมาก โดยมี Pierre Nepveu เป็นผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้าง ในปี ค.ศ. 1913 มาร์แซล แรมงเสนอว่า เลโอนาร์โด ดา วินชี ผู้เป็นแขกของพระเจ้าฟร็องซัวที่ Clos Lucé ไม่ไกลจากอ็องบวซเป็นผู้มีส่วนในการออกแบบ ที่สะท้อนให้เห็นในแผนสำหรับวังโรโมรองแตงที่ดา วินชีเตรียมสำหรับพระราชมารดาของพระเจ้าฟร็องซัว และความสนใจในการออกแบบลักษณะการก่อสร้างแบบช็องบอร์ และบันไดกลางที่เป็นบันไดเวียนสองวงซ้อน แต่ข้อเสนอนี้ก็ยังไม่เป็นที่เห็นพ้องกันโดยทั่วไป เมื่อสร้างใกล้เสร็จ พระเจ้าฟร็องซัวก็ทรงเป็นเจ้าภาพจัดงานเพื่อแสดงความโอ่อ่าของพระราชวัง ต่อคู่อริเก่าสมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์



โรงอุปรากรปาแลการ์นีเย


โรงอุปรากรปาแลการ์นีเย (ฝรั่งเศส: Palais Garnier; Opéra de Paris; Opéra Garnier; Paris Opéra, )เป็นโรงอุปรากรตั้งอยู่ในกรุงปารีสในฝรั่งเศส ที่สร้างโดย ชาร์ล การ์นีเย เป็นสถาปัตยกรรมแบบฟื้นฟูบาโรก โรงอุปรากรปาแลการ์นีเยถือกันว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของยุค
เมื่อทำการเปิดในปี ค.ศ. 1875 โรงอุปรากรมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Académie Nationale de Musique - Théâtre de l'Opéra” (สถาบันดนตรีแห่งชาติ - โรงละครเพื่อการแสดงอุปรากร) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้กันมาจนกระทั่งปี ค.ศ. 1978 เมื่อได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น “Théâtre National de l'Opéra de Paris” (โรงละครแห่งชาติเพื่อการแสดงอุปรากรแห่งปารีส) แต่หลังจากคณะอุปรากรแห่งปารีส (Opéra National de Paris) เลือกโรงอุปรากรบัสตีย์ซึ่งเป็นโรงอุปรากรที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่เป็นโรงอุปรากรหลักแล้ว โรงละครแห่งชาติก็เปลี่ยนชื่อเป็น “ปาแลการ์นีเย” แม้ว่าจะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Académie Nationale de Musique” (สถาบันดนตรีแห่งชาติ) แม้ว่าคณะอุปรากรจะย้ายไปยังโรงอุปรากรบัสตีย์ แต่ “ปาแลการ์นีเย” ก็ยังคงเรียกกันว่า “โรงอุปรากรปารีส”

ประวัติ

ปาแลการ์นีเยออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ของปารีสของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 2 ที่ริเริ่มโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ผู้ทรงเลือกชอร์ช-เออแชน โอสแมนน์ให้เป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง ในปี ค.ศ. 1858 จักรพรรดินโปเลียนก็มีพระบรมราชโองการให้เคลียร์พื้นที่ 12,000 ตารางเมตรที่ใช้ในการสร้างโรงละครที่สองสำหรับคณะนักแสดงอุปรากรและบัลเลต์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกของปารีส โครงการนี้ได้เปิดแข่งขันประมูลกันในปี ค.ศ. 1861 โดยมีชาร์ล การ์นีเยเป็นผู้ประมูลได้ ในปีเดียวกันก็ได้ทำการวางศิลาฤกษ์ และการก่อสร้างเริ่มขึ้นในปีต่อมาในปี ค.ศ. 1862 มีเรื่องเล่ากันว่าจักรพรรดินีเออเชนีเดอมองติโคตรัสถามการ์นีเยระหว่างการก่อสร้างว่าจะสร้างเป็นแบบโรมันหรือกรีก ซึ่งการ์นีเยก็ถวายคำตอบว่าจะเป็น “แบบนโปเลียนที่ 3”[ต้องการอ้างอิง]

อุปสรรค

การก่อสร้างโรงอุปรากรประสบกับอุปสรรคต่าง ๆ หลายอย่าง อุปสรรคที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการเลื่อนเวลาการเทฐานคอนกรีตลงบนพื้นดินที่เป็นเลนแฉะที่ภายใต้เป็นทะเลสาบใต้ดิน ที่ต้องใช้เวลาตลอดแปดเดือนเต็มในการใช้เครื่องสูบน้ำดูดน้ำออก จากนั้นก็ประสบกับสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย, การล่มสลายของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 2 และ การปกครองภายใต้รัฐบาลปารีสคอมมีน ระหว่างนั้นการก่อสร้างก็สร้าง ๆ หยุด ๆ เป็นพัก ๆ และถึงกับมีข่าวลือว่าโครงการจะถูกระงับลงโดยสิ้นเชิง

เพลิงไหม้

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1873 ปัจจัยที่ทำให้จำเป็นที่จะต้องสร้างปาแลการ์นีเยให้เสร็จมาจากโรงอุปรากรปารีสเดิมที่เรียกว่า “โรงละครแห่งราชสถาบันการดนตรี” (Théâtre de l'Académie Royale de Musique) ถูกเพลิงเผาไหม้อยู่ 27 ชั่วโมงจนไม่เหลือซาก

การก่อสร้าง

เมื่อมาถึงปลาย ค.ศ. 1874 การ์นีเยก็สร้างปาแลการ์นีเยเสร็จ และเปิดดำเนินการเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1875 ด้วยการแสดงอันยิ่งใหญ่ งานแสดงฉลองประกอบด้วยองค์ที่สามของอุปรากร La Juive โดย Fromental Halévy และบางตอนของอุปรากร Les Huguenots โดย Giacomo Meyerbeer คณะบัลเลต์แสดง Grand Divertissement ที่ประกอบด้วยฉาก Le Jardin Animé จากบัลเลต์ Le Corsaire โดย Joseph Mazilier ด้วยดนตรีโดย Léo Delibes.

แฟนธอม

ในปี ค.ศ. 1896 โคมระย้าของโรงอุปรากรก็ร่วงลงมาทำให้มีผู้เสียชีวิตไปคนหนึ่ง เหตุการณ์นี้ และ การมีทะเลสาบใต้ดิน, ห้องใต้ดินและองค์ประกอบอื่นทำให้กาสตง เลอรูซ์นำเอาไปเขียนนวนิยายกอธิค เรื่อง “เดอะแฟนธอมออฟดิโอเปรา” ในปี ค.ศ. 1909

ลักษณะสถาปัตยกรรม

แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าโรงอุปรากรเดิมเล็กน้อย แต่ปาแลการ์นีเยก็มีเนื้อที่ถึง 11,000 ตารางเมตร จุผู้ชมได้ประมาณ 2,200 คนภายใต้โคมระย้าที่หนักกว่า 6 ตัน และมีห้องที่สามารถรับนักแสดงได้ถึง 450 คน การตกแต่งอย่างหรูหราเป็นการตกแต่งตามแบบสถาปัตยกรรมวิจิตรศิลป์สถาปัตยกรรมวิจิตรศิลป์ ที่ผังเป็นลักษณะที่สมมาตรพร้อมด้วยการตกแต่งภายนอก
การตกแต่งปาแลการ์นีเยเป็นการตกแต่งอัน “วิจิตรตระการตา” โดยใช้แถบหินอ่อนหลากสี, คอลัมน์ และ รูปสลักเสลาอันงดงามที่บางรูปมาจากตำนานเทพเจ้ากรีก ระหว่างคอลัมน์ด้านหน้าเป็นประติมากรรมสำริดครึ่งตัวของคีตกวีเอกหลายคนที่รวมทั้งโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท, จออาชิโน รอสซินี, แดเนียล โอแบร์, ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟิน, จาโคโม ไมเยอร์เบียร์, โฟรเมินทาล ฮาเลวีย์, กาสปาเรอ สปงทีนี และ ฟิลีป ควีโนล์ท.
กลางหลังคาเป็นประติมากรรม “อพอลโล, กวีนิพนธ์ และ ดนตรี” ที่สร้างโดยเอเม มิลเลต์ กลุ่มประติมากรรมปิดทองเป็น “ความกลมกลืน” และ “ดนตรี” ที่ออกแบบโดยชาร์ล จูเมอรีย์ และประติมากรรมสำริดขนาดเล็กกว่าเป็นภาพเพกาซัสของเออแฌน-หลุยส์ เลอเคสเนอ ประติมากรรมด้านหน้าสร้างโดยฟรองซัวส์ จูฟฟรอย (“ความกลมกลืน”), ฌอง-บัพทิสต์ โคลด เออแฌน กีโยม(“ดนตรี”), ฌอง-บัพทิสต์ คาร์โพซ์ (“นาฏกรรม”), ฌอง-โฌเซฟ แพร์โรด์ (“นาฏดนตรี”) และงานชิ้นอื่น ๆ โดย ศิลปินอีกหลายท่าน
ภายในตัวโรงอุปรากรประกอบด้วยระเบียง, บันได, ที่พักระหว่างขั้นบันได และ เวิ้ง ที่ผสานสลับกันไปมาที่ทำให้สามารถผู้คนจำนวนมากสามารถเคลื่อนย้ายทำการสังสรรค์กันได้อย่างสะดวกระหว่างการพักครึ่งระหว่างการแสดง การใช้สีที่ลึกและเป็นกำมะหยี่, ใบประดับสีทอง, ดรุณเทพ และ นิมฟ์ ในการตกแต่งภายในเป็นการตกแต่งตามแบบฉบับของสถาปัตยกรรมบาโรกอันอลังการ
บริเวณเพดานรอบโคมระย้าได้รับการเขียนภาพใหม่ในปี ค.ศ. 1964 โดยมาร์ค ชากาล แต่เป็นงานที่สร้างความขัดแย้ง เพราะมีผู้มีความเห็นว่าเป็นงานที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะการตกแต่งโดยทั่วไปของสถาปัตยกรรม